วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิตามิน....จากข้าวกล้อง

ข้าวกล้องคืออะไร ?

คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก

สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว

ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง

ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%
ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง


• ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร

• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้

• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก

• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน

• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว

• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน

• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล

• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)

• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย

• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย

• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

อาหารเพิ่มความเสี่ยง โรคหัวใจ


อาหารที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
1. อาหารไขมันสูงหรือเนื้อสัตว์ติดมัน เช่น เนื้อหมู เนื้อวัวติดมัน เครื่องในสัตว์ ไข่ปลา หอยนางรม ไข่แดง และกะทิ
2.ขนมหวาน โดยเฉพาะที่อุดมด้วย น้ำตาล กะทิ คอเลสเตอรอล ไข่แดง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ตลอดจนขนมหวานอย่างข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวทุเรียน ข้าวเหนียวสังขยา ลอดช่อง ปลากริมไข่เต่า เป็นต้น
3. อาหารฟาสต์ฟู้ด แม้จะมีผักแต่ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย แต่มากไปด้วยแป้ง ไขมัน และรสเค็ม
4. อาหารรสเค็ม ไม่เหมาะกับผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว เพราะทำให้เหนื่อยหอบ ตัวบวม หลีกเลี่ยงอาหารปรุงรสเค็มจัด ลดการใช้เครื่องปรุงรสลง เช่น กะปิ น้ำปลา เกลือ เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว ซอส น้ำมันหอย ซุปก้อนลง และงดอาหารหมักดองอาหารกระป๋อง อาหารกึ่งสำเร็จรูป กุ้งแห้ง ปลาเค็มด้วย


5. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจโตจนอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ส่วนเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ โกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง ก็กระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักเพิ่มขึ้น

หลีกเลี่ยงอาหารทั้ง 5 ประเภท เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง












ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์


วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สารอาหารสำหรับผู้ไม่ออกกำลังกาย



หากคุณเป็นคนที่เพื่อนๆพากันขนานนามว่า คุณเป็นพวก Couch Potato ที่วันๆไม่ทำอะไร เอาแต่นอนอืดดูทีวีอยู่กับบ้าน เผลอๆก็เอาสแน็คที่หาคุณค่าทางอาหารไม่ได้เลย มาเคี้ยวกรุบๆทั้งวัน
รู้หรือไม่ว่าบัดนี้คุณอาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเสี่ยงสำหรับพวกโรคอ้วนเกินพิกัด หรือพวกโรคทางหัวใจและหลอดเลือดก็ได้ ในความเป็นจริงผู้ที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว อาจนับรวมถึงผู้ที่นอนป่วยนานๆหรือเพิ่งจะฟื้นไข้ หรือคนจำพวกหนอนหนังสือที่วันๆทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากอ่านและอ่านเท่านั้น


เรามีสูตรวิตามินเจ๋งๆ 5 ชนิดที่ออกแบบมาเพื่อที่จะช่วยคุณๆที่เข้าข่ายดังกล่าว เริ่มจาก




1. Omega-3 Fatty Acids พบมากในน้ำมันปลาและน้ำมันเมล็ดลินิน (Flax seed ) ซึ่งจะให้สัดส่วนของกรดไขมันชนิด EPA สูง โดยปริมาณ EPA ที่แนะนำ / วันควรอยู่ในช่วง 250-3,000 mg. และควรระวังซักนิดหากคุณต้องทานยาต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดอยู่ก่อน ข้อดีสำหรับ Omega-3 คือ การปรับปรุงระบบการทำงานของหลอดเลือดและหัวใจ ระบบประสาท การสืบพันธุ์ และภูมิต้านทานร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางเภสัชวิทยาในการเป็น สารต้านการ clot ของเลือด ช่วยลดระดับไขมันในเลือด สารต้านอักเสบ บำรุงสุขภาพผมผิวและเล็บ และจุดเด่นสำคัญคือการช่วยนำส่ง Oxygen ไปยังเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย ซึ่งสัมพันธ์กับการลดอาการเบื่อและขี้เกียจได้



2. Bioflavonoid ขนาดรับประทาน 50-300 mg./ วัน ร่วมกับการทานวิตามิน C 500-3,000 mg./ วันจะให้ผลในเรื่องความ แข็งแรงของผนังหลอดเลือดฝอย ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือดจากการนั่งนานๆ


3. Garlic ซึ่งจะให้สารสำคัญที่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของกระเทียมที่ชื่อ Allicin โดยขนาดที่แนะนำควรอยู่ระหว่าง 600-5,000 mcg./ วัน ซึ่งจะให้ประโยชน์ในแง่ของการลดการเกาะตัวของเลือด ลดความดันเลือด ลดระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด ต้านการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส และควรระวังซักนิดหากคุณต้องทานยาต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดอยู่ก่อนแล้ว



4. Folic Acid ขนาดรับประทาน 400-1,000 mcg./ วัน ( หากเป็นสตรีตั้งครรภ์ควรได้รับ 600 mcg. และ 500 mcg. ใน สตรีให้นมบุตร ) ข้อดีของกรดโฟลิก คือการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยปรับความผิดปกติทางอารมณ์ที่ไม่รุนแรงนัก ความรู้สึกซึมเศร้า เบื่อหน่ายซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากการขาดการออกกำลังกาย นอกจากนี้หากรับประทานกรดโฟลิกขนาดสูงนานๆ ควรได้รับวิตามิน B12 เพิ่มเติมเนื่องจากกรดโฟลิกสามารถบดบังภาวะการขาด B 12 ในบางรายได้


5. Chromium ขนาด 50-200 mcg./ วัน ในรูป Chromium Picolinate ซึ่งเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดในแง่การดูดซึมและให้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะให้ฤทธิ์ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปรับปรุงระบบเมตาบอลิซึม ทำให้สามารถลดการอยากอาหารในผู้ที่ชอบทานขนมจุบจิบได้ นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการทำงานของระบบอินซูลินในร่างกายได้


นอกจากนี้คุณควรจะให้ความสนใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วย โดยอาจจะมีการออกกำลังกายทดแทนบ้าง หรือหางานอดิเรกที่ชื่นชอบ สิ่งเหล่านี้น่าจะมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยน Life style ของคุณที่น่าเบื่อและไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย มาเป็นนักกิจกรรมตัวยงที่มีสุขภาพดีคนหนึ่งเลยทีเดียว





แหล่งข้อมูล: http://www.numwan.com/health/view.asp?GID=23

อาหารขยะ “Junk Food”



ทุกวันนี้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปมากทำให้วิถีชีวิต และพฤติกรรมของคนไทยเปลี่ยนไปต้องฝากท้อง กับอาหารสำเร็จรูป และอาหารด่วนซึ่งส่วนใหญ่มาในรูปอาหารตะวันตก ประเภทสะดวก และรวดเร็ว ทำให้ร้านสะดวกซื้อมีเพิ่มมากขึ้น เพราะซื้อหาได้ทั่วไป ถุกปากคนรุ่นหใม่ ใส่บรรจุภัณฑ์ เก๋ไก๋ พกพาสะดวก


คำว่า “Junk Food” เป็นศัพท์แสลงของอาหารที่มีสารอาหารจำกัดหรือที่เรียกว่า “อาหารขยะ” หมายถึง อาหารที่ให้ประโยชน์ทางโภชนาการน้อย และถ้ากินมากหรือกินประจำจะเป็นโทษต่อร่างกาย อาหารขยะส่วนใหญ่ประกอบด้วย น้ำตาล ไขมัน และแป้ง แต่มีส่วนประกอบของโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่น้อยมาก เช่น ลูกอม น้ำอัดลม อาหารจานด่วนบางชนิด ขนมขบเคี้ยว บะหมี่ซอง อาหารกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นแป้งที่ขัดสีเอาเส้นใยและวิตามินออกหมด ใช้น้ำตาลที่ผ่านการฟอกขาว แล้วเติมด้วยสารแต่งสี/กลิ่น ผงชูรส ตามด้วยกระบวนการทอด เป็นต้น


การบริโภคอาหารขยะเป็นประจำเป็นสาเหตุให้ร่างกาย ขาดสารอาหาร โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ ที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย เสี่ยงต่อภาวะการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไข้อ และโรคอ้วน ซึ่งส่งผลเสี่ยงต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองด้วย เช่นปัญหาด้านความจำของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน หรือคนที่ชอบบริโภคอาหารประเภทไขมันสูง ทำให้มีปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี หรือ Low Density Lipoprotein (LDL) และปริมาณไตรกลีเซอไรด์สูงจากงานวิจัยของ จอห์น มอร์เลย์และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูริ พบว่าในหนูที่กินอาหารไขมันสูง จะมีปริมาณไตรกลีเซอไรด์สูง ซึ่งปริมาณไตรกลีเซอไรด์ที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นสาเหตุทำให้เสียความทรงจำ โดยศึกษาทดลองให้หนูกินยาที่มีผลลดปริมาณไตรกลีเซอไรด์ แต่ไม่มีผลให้น้ำหนักตัวลด พบว่าผลทดสอบด้านความจำดีขึ้น

นอกจากนี้อาหารขยะยังเป็นสารก่อภูมิแพ้ (allergen) ที่ถูกมองข้าม เนื่องจากอาหารขยะมีการดัดแปลงและปรุงแต่งโดยมีการใช้สารในกลุ่มสารแต่งสีอาหาร เช่น ทาร์ทราซีน (tartrazine) ให้สีเหลืองส้นอะมาเรนท์ (amaranth) ให้สีแดง เป็นต้น ซึ่งพบได้ในขนมและน้ำอัดลมต่างๆ ที่มีสีสันสดใส กลุ่มสารกันบูด เช่น กรดเบนโซอิก (benzoic acid) โซเดียมเบนโซเอท (sodium benzoate) ซึ่งมักพบในอาหารกึ่งสำเร็จรูปทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่ซอง ขนมกรุบกรอบ กลุ่มสารกันหืน ได้แก่ สารบิวทิลเลตไฮดรอกซีอะนิโซล (butylated hydroxyanisole) ซึ่งมักพบในอาหารประเภททอด ขนมกรุบกรอบ ไอศกรีม มาการีน เป็นต้น กลุ่มสารเพิ่มเนื้อและสารที่ทำให้ข้น เพื่อให้ปริมาณดูมากขึ้น ได้แก่ วุ้น (agar) คาร์ราจีแนน (carrageenan) ซึ่งมักพบในอาหารประเภทไอศกรีม เยลลี ครีมแต่งหน้าเค้ก เนยแข็ง กลุ่มผงชูรส ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดอาการผื่นแดงและอักเสบของผิว สำหรับคนที่มีแนวโน้มผิวแพ้ง่าย สารในกลุ่มเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงแต่งอาหารขยะซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้
กรมวิทยาศาสตร์บริการได้จัดอบรมเกี่ยวกับระบบคุณภาพ GMP และ HACCP ซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหาร หรือ Food Safety อาหารขยะอาจก่อให้เกิดอันตรายทางเคมี ถ้าปริมาณสารบางชนิดในอาหารขยะที่กล่าวถึงข้างต้น ได้แก่ สีผสมอาหาร สารกันบูด มีปริมาณสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดอาจเกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคได้หรือถ้าผู้บริโภครับประทานอาหารขยะในปริมาณมาก ทำให้ปริมาณสารเข้าสู่ร่างกายในปริมาณเกินกว่าร่างกายจะรับได้ อาจมีผลเสียต่อร่างกายได้
แหล่งข้อมูล : http://www.vcharkarn.com/varticle/39132

โรคภูมิแพ้อากาศ



โรคแพ้อากาศ

เป็นโรคแพ้อย่างหนึ่งที่พบมากในบ้านเรา เนื้อหาสั้น ๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบภูมิแพ้ รพ.กรุงเทพครับ
โรคภูมิแพ้อากาศ เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ
อาการเด่น
คันจมูก คันตา น้ำมูกใส
จามบ่อย ๆ แน่นจมูก
รู้สึกแน่นจมูกเช้า บางครั้งเจ็บคอเช้า ๆ
สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย
ฝุ่น นุ่น ซากแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอนในบ้าน ขนสัตว์ เชื้อราในอากาศ
เชื่อว่าเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ โดยพบว่า ถ้าพ่อแม่เป็น ลูกมีโอกาสที่จะเป็นด้วยถึง 75 %
สิ่งกระตุ้นให้โรคเป็นมาก คือการได้รับสัมผัส การเปลี่ยนแปลงของอากาศ สุขภาพอ่อนแอ ความเครียด
อาการที่พบร่วมบ่อย
อาจพบ หอบหืด ลมพิษ แพ้อาหาร คันตา ตาอักเสบ ร่วมกัน
การดูแลรักษา
1. การดูแลตนเอง
*นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
*ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน
*รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ
*หลีกเลี่ยงความเครียด
*ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง ไม่ควรใช้ยาเอง

2. การดูแลสิ่งแวดล้อม
1.1 กำจัดฝุ่นละอองและตัวไรในห้องนอน
*ทำความสะอาดห้องนอนทุกวัน
*จัดห้องนอนให้โล่ง มีเครื่องตกแต่งน้อยชิ้นที่สุด
*หลีกเลี่ยงวัสดุที่ทำจากขนสัตว์ นุ่น
*หลีกเลี่ยงการใช้พรม
*ที่นอน หมอน ควรนำออกตากแดดทุกสัปดาห์
*ผ้าคลุมที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม มุ้ง ผ้าคลุมเตียง ควรทำความสะอาดอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง
*เก็บหนังสือและเสื้อผ้า ในตู้ที่ปิดมิดชิด
*ใช้วัสดุที่เป็นใยสังเคราะห์ หรือฟองน้ำ
1.2 กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ และแมลงอื่น ๆในบ้าน
1.3 ลดปริมาณละอองเกสรดอกไม้ หญ้า
* หลีกเลี่ยงการนำดอกไม้สด หรือต้นไม้ไว้ในบ้าน
* ตัดหญ้าและวัชพืชออก
1.4 ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดหรือนำสัตว์เลี้ยงมาใว้ในบ้าน
1.5 กำจัดเชื้อรา
* อย่าให้เกิดความชื้นหรืออับทึบ กำจัดแหล่งเชื้อรา เช่น ห้องน้ำ กระถางต้นไม้ ห้องครัว

แหล่งที่มา: http://www.thaihealth.net/h/article289.html

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แอปเปิ้ล ลดคอเลสเตอรอล



แอปเปิ้ลหาซื้อได้ง่าย ราคาก็ไม่แพงนัก แถมสรรพคุณก็มากมายจริงๆ ค่ะ แอปเปิ้ลผลขนาดกลางเพียง 1 ผล ล้างให้สะอาดโดยไม่ปอกเปลือก
มีคุณค่าทางโภชนาการโดยประมาณดังนี้- พลังงาน 80 แคลอรี- วิตามิน บี6 0.1 กรัม- วิตามิน ซี 7.9 มิลลิกรัม- เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม- ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม- โพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญจะลดลง
บทความในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2470 เคยยกย่องว่า แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรดไขข้อรูมาติกเกาต์ ดีซ่าน และอื่นๆ แอปเปิ้ลมีสารสำคัญบางตัว เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่ชื่อว่า เพคติน และยังมีกรด 2 ชนิด คือกรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมันปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส เป็นต้นแอปเปิ้ลช่วยควบคุมน้ำหนักหากคุณรู้สึกหิวในเวลาที่มิใช่มื้ออาหาร แอปเปิ้ลสักลูกช่วยลดความหิวได้ดีค่ะ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิด อ่อนเพลียระหว่างเวลาอาหารมื้อใหญ่ๆ ประโยชน์ของแอปเปิ้ลข้อนี้ สาวๆ สามารถนำไปเป็นเทคนิคควบคุมน้ำหนักอย่างง่ายๆ เวลาที่ต้องไปงานเลี้ยง คือเมื่อเริ่มตักอาหาร ให้ตักผลไม้ก่อน เลือกแอปเปิ้ล ส้ม หรือผลไม้ที่มีกากใยมากๆ รับประทานรองท้องแทนอาหารออเดิร์ฟ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที น้ำตาลผลไม้โมเลกุลเดี่ยวจะถูกดูดซึม ทำให้ความอยากอาหารลดลง คุณจึงรับประทานอาหารคาวได้น้อยลง แต่รู้สึกอิ่มได้ดีกว่าอาหารจำพวกแป้งหรือน้ำตาลอื่นๆ จากการทดลองพบว่า แอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณเช่นนี้ การดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้คุณหายหิว แถมจะทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นด้วยแอปเปิ้ลช่วยลดคอเลสเตอรอลแอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่พบว่า แอปเปิ้ลลดคอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย นักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศ เช่น อิตาลี ไอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ได้รายงานผลการวิจัยตรงกันว่า แอปเปิ้ลมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลได้คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์ เมืองตูลูส พบว่า แอปเปิ้ลช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ในหนูทดลอง ต่อมาได้มีการทดลองในอาสาสมัครวัยกลางคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จำนวน 30 คน โดยให้รับประทานอาหารเหมือนเดิมทุกประการ แต่รับประทานแอปเปิ้ลร่วมด้วยวันละ 3 ผลทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน พบว่าอาสาสมัครจำนวน 24 คนมีปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง บางคนลดลงมากกว่า 10%แอปเปิ้ลมีสารเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ การวิจัยบ่งชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน แยกคอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับคอเลสเตอรอลเหล่านั้น และนำไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งแอปเปิ้ลช่วยลดน้ำตาลในเลือดแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด เมื่อรับประทานอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะถูกย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้นๆ เช่น ถ้ารับประทานน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอปเปิ้ล ถึงแม้จะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ก็ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับอาหารจำพวกถั่วนักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า คนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ จะมีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวานผลการทดลองยังพบด้วยว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มาก จะเกิดอาการความดันโลหิตสูงได้ยากกว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อยอย่างไรก็ตาม แอปเปิ้ลไม่ใช่ยารักษาโรค แต่หากคุณกำลังมองหาอาหารที่มากด้วยคุณค่าแล้วล่ะก็ อย่าลืมนึกถึงแอปเปิ้ลแอปเปิลเป็นผลไม้ยอดนิยมชนิดหนึ่งที่มีผู้บริโภคกันอย่างแพร่หลายที่สุดในโลก แอปเปิลในยุคแรกๆ คือ แอปเปิลป่า เป็นสายพันธุ์พื้นเมืองของเกาะอังกฤษ ซึ่งถูกนำเข้ามาในอังกฤษครั้งแรกในสมัยโรมัน ปัจจุบันมีแอปเปิลอยู่ประมาณ 7,500 สายพันธุ์ที่ปลูกกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ว่ากันว่าสายพันธุ์ที่มีรสชาติอร่อยที่สุดนั้นเพาะปลูกกันมากในสหรัฐอเมริกา แอปเปิลเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร แอปเปิ้ล 1 ผล มีเส้นใยอาหารประมาณ 5 กรัม จึงมีสรรพคุณในการช่วยขับพิษอ่อนๆ ในร่างกายสูตรการล้างพิษง่ายๆ ก็คือ นำแอปเปิลมาปั่นรวมกับแครอท ในอัตราส่วน 1 ต่อ 4 รับประทานช่วยขับพิษในร่างกายแอปเปิลยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เนื่องจากรับประทานแล้วไม่อ้วน แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุผลไม้ในตระกูลเดียวกับแอปเปิล คือแพร์และสาลี่ ก็มีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกัน แต่เนื่องจากแพร์และสาลี่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่าแอปเปิลจึงมีสรรพคุณในการดับกระหายและทำให้ชุ่มคอ แก้ไอ ละลายเสมหะ ฤทธิ์เย็นของแพร์และสาลี่ยังช่วยลดความร้อนในร่างกาย และช่วยบรรเทาอาการของโรคหลอดลมอักเสบ สามารถรับประทานได้ทั้งผลสด หรือจะนำเนื้อมาบดให้ละเอียดแล้วต้มกับน้ำตาลทราย ผสมด้วยน้ำผึ้งเล็กน้อย ก็จะได้ของหวานที่นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยให้ชุ่มคอและแก้อาการไอแห้งแบบเรื้อรังได้อีกด้วยนอกจากประโยชน์ดังที่กล่าวมาแล้ว การรับประทานแอปเปิลเป็นประจำ ยังช่วยป้องกันและบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บได้หลายประการ เนื่องจากแอปเปิลมีวิตามินซีและเบต้าแคโรทีนมาก ดังนั้นจึงช่วยป้องกันโรคหวัด และโรคเลือดออกตามไรฟันได้แอปเปิ้ลยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น จึงช่วยได้ทั้งอาการท้องผูกและท้องเสีย ผู้ที่มีอาการท้องผูก แอปเปิลช่วยระบายได้ ส่วนผู้ที่มีอาการท้องเสียนิดหน่อย รับประทานแอปเปิลสับละเอียดติดต่อกัน 2 วัน อาการท้องเสียจะค่อยๆ หายไปมีรายงานด้วยว่าการรับประทานแอปเปิลโดยไม่ปอกเปลือก จะช่วยลดอาการปวดท้องจากเชื้อโรคบิดได้นอกจากนี้หากรับประทานแอปเปิลมื้อละ 1 ผล เป็นประจำ จะช่วยขับเกลือที่มีมากเกินไปออกจากร่างกาย ทำให้ความดันโลหิตค่อยๆ ลดลง เหมาะสำหรับผู้ที่ความดันโลหิตสูงในตำราแพทย์แผนโบราณก็ได้กล่าวถึงสรรพคุณของแอปเปิลไว้เช่นกัน ได้แก่ใบ ใช้ต้มกินรักษาเลือดคั่งค้างหลังคลอด รักษาอาการไข้ ขับน้ำคาวปลา รักษาแผลจากไฟผล รักษาอาการท้องผูกเป็นประจำ นอนไม่ค่อยหลับ โรคเกี่ยวกับไต บำรุงร่างกายทารก บำรุงปอด


ขอบคุณเนื้อหาจาก http://ornnami.exteen.com/20090306/entry-2

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Live Younger Longer

Live Younger Longer


เคล็ดลับง่ายๆสำหรับการมีสุขภาพที่ดี นอกจากจะต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว อย่าลืมทานผักและผลไม้ให้ครบ 5 สี เพราะผักและผลไม้แต่ละสีล้วนมีคุณค่าต่อร่างกายแตกต่างกัน

ผักและผลไม้ สีขาวหรือสีน้ำตาล เป็นผักและผลไม้ที่มีสารกลุ่มอะซิติน และธาตุซิลิเนียม ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ทั้งยังมีคุณสมบัติในการช่วยย่อยอาหารได้ดี มีให้เลือกทานหลายประเภทมาก ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ ผักกาดขาว น้อยหน่า หรือ มะพร้าว

ผักและผลไม้ สีแดง มีสารดีดีในกลุ่มไลโคพีน แอนโธไซยานิน ช่วยบำรุงหัวใจ เสริมสร้างความจำ รักษาระบบทางเดินปัสสาวะ และลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด ผักและผลไม้สีแดงมีให้เลือกทานหลายชนิด ทั้งมะเขือเทศ องุ่นแดง แตงโม เชอร์รี่ แต่ที่ขอเน้นเป็นพิเศษก็คือแอปเปิ้ล เพราะในแอปเปิ้ลจะมีสารพิเศษชื่อ เพคติน ซ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความหิวได้

ผักและผลไม้ สีเขียว มีสารกลุ่มลูเทอินและอินดอลมาก โดยผักในกลุ่มจะให้วิตามินซีที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และผนังเซลล์ให้แข็งแรงมากขึ้นรวมถึงยังป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันอีกด้วย นอกจากนี้แล้วสำหรับผักใบเขียวเข้ม ยังมีธาตุเหล็กและแคลเซียม ที่ช่วยสร้างกระดูกและฟัน โดยผักและผลไม้หาทานได้ง่ายเช่น ตำลึง ผักบุ้ง ผักหวาน คะน้า กวางตุ้ง บรอกโคลี ผักโขม ถั่วพู อีกทั้งยังเคยมีงานวิจัยทอสอบออกมาว่าแคทานผักสีเขียววันละนิดผิวพรรณจะอ่อนเยาว์ลงสิบวัน

ผักและผลไม้ สีเหลืองและส้ม สีเหลืองและส้มจะมีสารแคโรทีนอยด์และไบโอฟลาโวนอยด์มาก มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงสายตา เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และลดอัตราเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด แถมพริกยักษ์หรือพริกเหลืองยังมมีความพิเศษที่มากกว่าทำให้ร่างกายแข็งแรง เพราะจะประกอบไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนที่มีคุณสมบัติช่วยควบคุมการเพิ่มออกซิเจนของสารต่างๆ ในร่างกายส่งผลให้ชะลอความแก่ รวมถึงเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายได้อย่างเห็นผล

ผักและผลไม้ สีดำ น้ำเงิน หรือม่วง องุ่นแดง กะหล่ำม่วง บลูเบอร์รี่ เผือก ชมพู่ม่าเหมี่ยว หรือลูกพรุน จะมีสารกลุ่มแอนโธไซซยานินและโฟโนลิกเป็นส่วนประกอบ ซึ่งช่วยป้องกันสารอันตรายไม่ให้สะสมในเลือด ทำให้เกิดกลไกป้องกันการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดแตกในสมอง

และก่อนทานผักและผลไม้ ทุกครั้งควรล้างน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง เพื่อเป็นการชำระฝุ่นหรือสารเคมีที่ติดอยู่ออกให้หมด



ขอบคุณเนื้อหาจาก Aviance Beauty Solutions Magazine / May 2009